Attitude Thailand – February 2012
February 2012
ปั้นจั่น ปรมะ อิ่มอโนทัยนักแสดง จากหนังเรื่อง ไม่ได้ขอให้มารัก
เมื่อ “ปั่นจั่น และ ซาหริ่ม” อดีตนักร้องวงบอยแบนด์ต้องผันตัวเองมารับบทเด่นในหนังเกย์เรื่อง
“It Gets Better ไม่ได้ขอให้มารัก” ของผู้กำกับสุดอื้อฉาว ธัญญ์วาริน สุขะพิสิษฐ์ ที่มีทั้งเลิฟซีน
และ… เราบอกคุณได้สั้นๆ ว่า คุณจะตกหลุมรักสองหนุ่มในเร็วๆ นี้Charming Bad Boy
ปั่นจั่นเล่าถึงบทไฟในหนังว่า “ตอนที่พี่นนท์ ผู้ช่วยผู้กำกับติดต่อผมไปเล่นหนัง ดีใจมาก แค่อยาก
เล่นหนัง ก็ไม่ได้ถามอะไรมากมายนัก รู้แต่ว่าเป็นหนังเกย์และบทดีมาก ที่สำคัญคือได้ร่วมงานกับ
พี่ต่าย เพ็ญพักตร์ ก็รู้แค่นั้น แต่พอเราเริ่มทำงานกันจริงจังก็ได้คุยกับพี่กอล์ฟ เรื่องบทบาทที่ต้องรับ
พี่กอล์ฟก็บอกว่า ‘เธอไม่ต้องแสดงอะไรเลย เธอเล่นเป็นตัวเธอ เพราะลุคเธอมันให้อยู่แล้ว’
(หัวเราะ) ดูแว้นๆ ห้าวๆ เป็นเด็กซ่อมมอเตอร์ไซค์ จริงใจ เปิดเผย อยากทำอะไรก็ทำ แต่โดยพื้นเพ
ไฟเป็นผู้ชายที่เป็นสุภาพบุรุษมากนะ คือแม้ในเรื่องจะได้กับกะเทย แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจเพศ หรือ
มองว่ามันเป็นเรื่องผิดปกติ ซึ่งตัวคาแร็คเตอร์ของไฟ ผมว่ามีส่วนคล้ายตัวผมมากทีเดียว””คล้ายตัวตนของปั่นจั่น” ผมถามแทรกไป “ใช่ครับ” ปั่นจั่นตอบ “ปกติในชีวิตจริง สมมติว่า ถ้าผม
ไปรักผู้หญิงคนหนึ่งแล้วเกิดผมมารู้ทีหลังว่า เขาเป็นกะเทยแปลงเพศมา ถามว่าผมจะทำยังไง
ผมบอกได้เลยว่าผมไม่โกรธนะ ต้องดูด้วยว่าตอนนั้นผมรักเขาหรือไม่ ถ้าผมรักเขา ก็คงยังรักอยู่
ผมไม่ได้มองเรื่องเพศว่าเป็นเรื่องใหญ่ หรือเป็นเรื่องที่ต้องมาซีเรียส ผมเป็นคนเปิดกว้างและคบ
กับคนได้หมด เพียงแต่ระยะห่างของความสัมพันธ์มันก็ต้องมี อย่างเป็นเพื่อนกับเกย์ ไม่มีปัญหา
เพื่อนเกย์ในวงการที่เป็นพี่ที่เราเคารพเยอะแยะ หลายคนก็มองเราเป็นน้อง ก็ไม่ได้มาอะไรกับเรา
เพราะเขาก็รู้อยู่ว่าเราเป็นอย่างไร ก็เคยนะที่มีเกย์มาจีบ ถ้าเขาแค่แซวๆ เฉยๆ ผมก็โอเค แต่ถ้า
ชัดเจนมากผมก็คงต้องทบทวนว่า พี่ครับ ผมยังชอบผู้หญิงอยู่นะ แต่ผมให้เกียรติพี่ในฐานะเพื่อน
หรือพี่น้อง ผมคบได้ ไม่ได้แอนตี้”The Cutie Rock
ในหนัง ซาหริ่มรับบทเป็น “ต้นไม้” ลูกชายเจ้าของบาร์โชว์คาบาเร่ต์ที่บินตรงกลับมาจากต่าง
ประเทศเพื่อรับมรดกของพ่อที่เพิ่งตายไป ซึ่งเขาตั้งใจจะขายมันซะแล้วบินกลับไปอยู่เมืองนอก
ตามเดิม แต่ก็มีเหตุการณ์หลายอย่างที่ทำให้เขาได้เรียนรู้จากกะเทยในบาร์โชว์แห่งนั้น รวมถึง
ความรักที่แตกต่างไปจากสิ่งที่เขาเคยรู้จัก กับหนังเรื่องแรกและเป็นหนังเกย์ด้วย ซาหริ่มเอ่ย
เพียงสั้นๆ ว่า “ถ้าได้ลองแสดงในสิ่งที่เราไม่ได้เป็นดูบ้าง มันก็ถือว่าเป็นความท้าทายครั้งสำคัญ
ในชีวิตการแสดงของผมนะ เพราะผมเคยผ่านแต่งานซีรีส์อย่าง น้องใหม่ร้ายบริสุทธิ์ ซึ่งมันก็เป็น
อีกแนวหนึ่งที่ไม่ได้ยากลำบากมาก แล้วอีกอย่างหนึ่งหลังจากอ่านบทเสร็จ ผมคิดว่าบทนี้มีอะไร
คล้ายตัวผม คือบางทีก็เป็นผู้ชายงงๆ คือไม่ได้งงเพราะสับสนทางเพศนะ แต่งงๆ ว่าจะทำอะไร
ก่อน – หลังดี บางทีดูเหมือนคนลังเลน่ะครับ”
ความท้าทายหลายอย่างในเรื่องไม่ใช่แค่การรับบทเป็นผู้ชายที่เริ่มสับสนกับตัวเอง หลังจากที่ได้
รู้จักกับกะเทยแปลงเพศทั้งหลาย แต่ยังต้องมีบทเลิฟซีน ที่เขาบอกว่า “ไม่เคยแสดงมาก่อนใน
ชีวิต” ซาหริ่มเล่าว่า “คือตอนอ่านบทครั้งแรก ผมว่าเป็นหนังเกย์ที่มีบทที่ดีนะ คือทำออกมาชัดเจน
ไม่มีฉากอะไรที่ขัดต่อศีลธรรม หรือทำให้นักแสดงหนักใจเหมือนกับหนังจีนเรื่องหนึ่งที่ทำเป็นสาม
มิติ โอ้โห เห็นนมเห็นอวัยวะเพศหญิงอะไรแบบนั้น ซึ่งผมว่ามันแรงไปสำหรับสังคมไทย กับเรื่องนี้
ตอนที่คุยกับพี่กอล์ฟ ก็รู้ว่ามีฉากจูบนะ พี่เขาก็บอกไว้ตั้งแต่ต้น แต่ตอนนั้นในใจผมก็นึกอยู่ว่า
เอาน่า เดี๋ยวคงใช้มุมกล้องช่วย แต่พอมาถ่ายทำจริงมันก็เป็นอย่างที่เห็นในทีเซอร์ครับ”
อ่านบทความฉบับเต็มได้ในนิตยสาร attitude ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2555
กุมภาพันธ์ เดือนแห่งความรักอะไร ฉันไม่รู้จัก กุหลาบกุเหลิบก็ไม่เคยได้ แม้แต่สติ๊กเกอร์หัวใจแผง
ละ 5 บาทก็ยังไม่มีคนแปะให้ ฮึ!! มันน่าน้อยใจนักพูดไม่ทันขาดคำ ดิฉันก็พลันได้ยินคลื่นเสียงอันแผ่วเบาเซ็กซี่เดินทางสู่โสตประสาท “ผมขอมอบ
แฟชั่นเซตนี้เป็นของขวัญวันวาเลนไทน์ให้แก่แฟนๆ ชาวแอทติจูดทุกคนแล้วกันครับ”อุ๊ตะ…อกอีแป้นจะแตก ก็พ่อหนุ่มสุดเซี๊ยะและน่าเจี๊ยะแห่งยุค “แม็กซ์ – รัฐศาสตร์ รุ่งศิริทิพย์”
อดีตหนุ่มโดมอนแมน ปี 2010 มาเอ่ยมอบของขวัญให้ขนาดนี้ละก็ ช่างเปลี่ยนช่วงเวลาจากหม่น
หมองให้กลายสดใสสุกสกาวได้อย่างทันท่วงทีทันใดนั้น เขาก็เปลื้องผ้าเปลี่ยนเป็นอันเดอร์แวร์ตัวจิ๋ว ดิฉันถึงขั้นกลืนน้ำลายเฮือกๆ อุเหม่ๆๆ …
สมกับเป็นปีมังกรทองเสียจริง ดิฉันจึงขอนิยามหนุ่มคนนี้ด้วยสายตาว่า “MAXIMUS” ที่แปลว่า
The Largest เห็นด้วยมั้ยคะ??
แม็กซ์ยังบอกอีกนะคะว่า ครั้งนี้พิเศษจริงๆ สำหรับแอทติจูด หลังจากที่ไม่ได้ถ่ายอันเดอร์แวร์มา
เกือบปีแล้ว ซึ่งดูท่าแล้ว สงสัยซัมเมอร์ปีนี้จะมาเร็วกว่าปกติ ก็อุณหภูมิในสตูดิโอมันร้อนจนแอร์
ที่ทำงานเกินเยียวยา ชะอุ่ย!! ไม่ได้ตั้งใจมองนะค่ะ คือหนุ่มแม็กซ์ ไม่ได้มาตัวเปล่า แต่ยังพก ….
กะ กะ กล้วยหอมมาด้วย O.O (เอามารองท้องค่ะ)
อุ๊ย..ตาเถรยายชี เวลานั้นช่างผ่านไปรวดเร็วเสียจริง นับจากวันที่หนุ่มแม็กซ์ครองตำแหน่ง
โดมอนแมน เวทีแจ้งเกิดจนเก้งกวางร้องโหยหวนกันเป็นทิวแถว ตราบจนถึงวันนี้ก็ผ่านไปเกือบ
2 ปีแล้ว แม็กซ์เล่าถึงความหลังว่า “จริงๆ แล้ว ผมกะจะประกวดตั้งแต่ปี 2009 แล้ว กะลองเล่นๆ
แต่สมัครไม่ทัน ก็เลยใช้เวลา 1 ปีในการเตรียมตัวฟิตหุ่น ฝึกบุคลิก เพราะเมื่อก่อนผมอ้วนมาก”
“หลังจากนั้นก็มีงานเดินแบบ ถ่ายภาพเข้ามาเรื่อยๆ พอดีขณะนั้นมีงานประกวด Mister World
ซึ่งประเทศไทยเวลานั้นยังไม่มีเวทีเฉพาะ เวทีโดมอนแมนน่าจะใกล้เคียงสุด ผมเลยได้เป็นตัว
แทนประเทศไปประกวดที่เกาหลีใต้ โดยช่วงเวลาเก็บตัว 20 วันนั้น ผมได้เพื่อนหลากหลาย
ประเทศและประสบการณ์ที่ดี แม้ว่าจะไม่ได้ตำแหน่งกลับมา แต่ก็พอใจ อย่างน้อยก็ติด 1 ใน
8 คนสุดท้ายประเภทสปอร์ตแมน ซึ่งแต่ละคนเป๊ะๆ กันทั้งนั้น”
อ่านบทความฉบับเต็มได้ในนิตยสาร attitude ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2555
ตลอดทุกสัปดาห์ โดยเฉพาะสี่หนุ่มเพื่อนซี้ โฬม พัชฏะ นามปาน, เจสัน ยัง, เอ พศิน เรืองวุฒิ
และอีกหนึ่งหนุ่มที่ใครๆ ก็ส่งเสียงถามกันเซ็งแซ่ว่า เขาเป็นใคร มาจากไหน…บอกให้ก็ได้
เขาชื่อ “โพลาร์ ชยพล อินทรวงศ์” จ้ะ และตอนนี้เขาก็กำลังนั่งโชว์อกแน่ๆ ที่เปล่าเปลือย
พร้อมด้วยดวงตาแสนเจ้าชู้กรุ้มกริ่ม รอให้เราเริ่มต้นถามคำถามแรกเสียทีฟีดแบ็กจากละครมุกเหลี่ยมเพชรเป็นยังไงบ้าง?
ตอนนี้เดินไปไหนมาไหน ไม่ต้องถามครับว่า “ดูละครหรือยัง” เพราะทุกคนก็จะบอกว่า
“เฮ้ย ได้ดูละครแล้ว โห ฉากว่ายน้ำ…” (หัวเราะ) คือตอนแรกก็แอบหวั่นใจนิดนึง ตอนที่รู้ว่า
จะต้องมีฉากว่ายน้ำ เพราะมันก็เขินๆ แต่พอละครออกมาก็มีฟีดแบ็กที่ดีทีเดียว ผมคิดว่าตอน
แรกๆ ฉากว่ายน้ำมันก็คงทำให้คนรู้สึกตื่นเต้น อยากจะดูต่อไปเรื่อยๆ และด้วยตัวเนื้อเรื่องเอง
ก็ค่อนข้างสนุก มีครบทุกรส ทำให้กระแสละครค่อนข้างดีครับนอกจากละครเรื่องนี้แล้วมีผลงานอะไรอีกบ้าง?
ตอนนี้ทุกวัน จันทร์ – ศุกร์ โพลาร์ก็จะเป็นพิธีกรรายการ “สวัสดีเมืองไทย” ทางช่อง
S Channel ครับ และก็กำลังจะมีละครอีกเรื่องที่ยังคุยๆ กันอยู่ แต่ขออุบรายละเอียดไว้ก่อน
นะครับโพลาร์เริ่มออกกำลังกายตั้งแต่เมื่อไหร่?
จริงๆ ผมเป็นนักกีฬากรีฑาของโรงเรียน ตั้งแต่ตอนเรียนมัธยมฯ และก็เป็นคนที่ซิตอัพ วิดพื้น
ยกดัมบ์เบลอยู่ที่บ้านทุกวันอยู่แล้ว คืออาจจะเป็นเพราะผมอยู่ในกลุ่มที่เป็นนักกีฬากันหมด
ซึ่งเด็กผู้ชายมันก็จะมีการเกทับกัน “ฉันซิตอัพได้เยอะกว่าแก ฉันวิดพื้นได้เยอะกว่าแก”
ทำไปทำมาก็เลยกลายเป็นคนที่ออกกำลังกายเป็นกิจวัตร แล้วก็เสพติดการออกกำลังกาย
(หัวเราะ) พอโตขึ้นมาหน่อยเริ่มก็เข้าสู่วงการบันเทิง เข้าวงการมาได้สักระยะนึงก็รู้สึกว่า
อยากให้ตัวเองดูดีกว่านี้ ก็เลยมาเริ่มต้นเข้าฟิตเนสอย่างจริงจัง ช่วง 1 – 2 ปีแรก พูดได้เลย
ว่าหาเวลาเข้าฟิตเนสเกือบทุกวัน จนได้หุ่นประมาณนึง เป็นที่ถูกอกถูกใจของตัวเอง รู้สึกว่า
ประมาณนี้ล่ะ ไม่ใหญ่ไป ไม่เล็กไป ก็ค่อยๆ เล่นคงสภาพนั้นมาเรื่อยๆ พยายามเข้าฟิตเนส
อย่างสม่ำเสมอ ถึงวันนี้ก็เข้าฟิตเนสมาได้ประมาณ 7 ปีแล้วครับ
ทำไมถึงคิดว่าต้องเข้าฟิตเนสล่ะ ในเมื่อเราก็ซิตอัพ วิดพื้นอยู่แล้ว?
ตอนแรกคิดว่าแค่อยากจะหากิจกรรมทำ คือช่วงนั้นผมยังไม่ได้ทำงานทุกวันเหมือนอย่าง
ตอนนี้ เวลาว่างมันก็เยอะ แล้วเราก็คิดว่าการที่จะอยู่ในวงการบันเทิง มันก็ควรจะต้องดูดี
จะให้บินไปเกาหลีไปต่อส่วนสูงมันก็คงจะเยอะไป งั้นเราก็มาออกกำลังกายละกัน ทีนี้พอ
สมัครฟิตเนสไปแล้ว ถ้าไม่ไปเล่น มันก็จะมีความรู้สึกเสียดายตังค์ ก็ต้องเล่น เล่นไปเล่นมา
พอเรารู้สึกว่ารูปร่างดีขึ้น มันก็มีกำลังใจ คือผมเองก็ไม่ได้เล่นให้ดูใหญ่อยู่แล้ว เล่นให้มัน
เหมาะกับรูปร่างตัวเอง ให้กล้ามเนื้อมันชัดๆ คมๆ
คุมเรื่องอาหารบ้างไหม?
ตอนแรกๆ ก็คุมเข้มมากครับ แป้งน้อยๆ ไขมันไม่แตะ แต่พอหลังๆ มานี้ก็ยืดหยุ่นขึ้นเยอะ
อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ในนิตยสาร attitude ฉบับเดือนกุมภาพันธ์ 2555
แมกซ์-รัฐศาสตร์
15,256 thoughts on “Attitude Thailand – February 2012”