มารู้จักโบท็อกซ์ (BOTOX) กับแพทยสภา … รศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์
โบท็อกซ์ คืออะไร?
“โบ ท็อกซ์” (Botox) เป็นชื่อทางการค้า (trade name) ของสาร โบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ (Botulinum toxin A) ซึ่งเป็นโปรตีน ชนิดหนึ่ง ที่สร้างจาก แบคทีเรีย ชื่อ คลอสตริเดียม โบทูลินั่ม (Clostridium botulinum) ที่ก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษแก่มนุษย์ หากได้รับในปริมาณมากๆ เช่น จากอาหารกระป๋องที่ปนเปื้อนด้วยเชื้อตัวนี้ก็อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ จากการที่กล้ามเนื้อกระบังลมไม่ทำงาน ผู้ป่วยจึงหยุดหายใจ
โบทูลินั่ม ท็อกซิน ออกฤทธิ์ อย่างไร?
โบทูลินั่ม ท็อกซิน ออกฤทธิ์โดยการไปจับกับส่วนปลายของเซลล์ประสาท ทำให้เซลล์ประสาท ไม่สามารถหลั่งสารสื่อประสาทได้ กล้ามเนื้อจึงคลายตัว หรือ อีกนัยหนึ่งก็คือ เกิด อัมพาตของกล้ามเนื้อเล็กๆนั้น โดยจะเริ่มออกฤทธิ์ภายใน 2-3 วัน และเห็นผลสูงสุดในเวลาประมาณ 7? 14 วัน
แล้วแพทย์เอา “สารพิษ” นี้มาใช้ทำไม?
แพทย์ทราบมานานหลายสิบปีแล้วว่าหากฉีดเข้าไปในกล้ามเนื้อในปริมาณน้อยๆ โบทูลินั่ม ท็อกซินจะทำให้กล้ามเนื้อ “คลายตัว” ดังนั้นในยุคแรกๆ จักษุแพทย์จึงนำโบทูลินั่ม ท็อกซิน มาฉีดรักษาโรคตาเหล่ ตาเข และโดยบังเอิญจากการฉีดรักษาในบริเวณรอบดวงตานี้เอง ก็ทำให้แพทย์พบว่าริ้ว รอยบริเวณใบหน้า โดยเฉพาะบริเวณหน้าผากหว่างคิ้วและรอบดวงตาดีขึ้นด้วย
ในยุคต่อมาจึงมีการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน เพื่อประโยชน์ในด้านความสวยงามตามมาอย่างแพร่หลาย และมีเทคนิควิธีการที่ ต่างๆ กันออกไป มีการนำมาฉีดเพื่อทำให้หน้าเรียวลง ยกกระชับผิวหนัง ลดเหงื่อบริเวณรักแร้ ฝ่ามือ ตลอดจนรักษาอาการปวดศีรษะ ปวดเกร็งต้นคอ และอีกหลายกรณี ในประเทศสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวมีการฉีดกันเป็น ล้านๆครั้ง ต่อปี
ผลของการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน อยู่นานเท่าใด?
โดยทั่วไปผลของการฉีดจะอยู่ได้นานประมาณ 3-8 เดือน ทั้งนี้ขึ้นกับว่าฉีดรักษาอาการอะไร ฉีดบริเวณใด ฉีดเป็นครั้งแรกหรือเป็นการฉีดซ้ำ ผู้รับการรักษาอายุเท่าใด ซึ่งการที่ผลการรักษาอยู่ไม่ถาวรนั้น ที่จริงอาจนับได้ว่าเป็นข้อดี เพราะหากผลที่ได้รับไม่เป็นที่น่าพอใจ ในที่สุดก็จะค่อยๆ หายไปเองได้ ข้อเสียก็คือสิ้นเปลือง เพราะหากได้ผลดี ถูกใจก็ต้องฉีดซ้ำเรื่อยๆ
โบท็อกซ์ อันตรายหรือไม่
จากการรวบรวมผู้ป่วยที่ได้รับการฉีด โบทูลินั่ม ท็อกซิน จำนวนมาก ในต่างประเทศ พบว่าไม่มีอันตรายถึงชีวิต เมื่อใช้โดยผู้เชี่ยวชาญและใช้ฉีดเพื่อความสวยงาม
ผลข้างเคียงส่วนมากที่เกิดขึ้นมักเป็นแบบเฉพาะที่ เช่น หนังตาตก กลืนอาหารลำบาก หน้าไม่สมมาตร หรือจุดเลือดออกในบริเวณที่ฉีด ซึ่งเกิดได้แม้ในมือผู้เชี่ยวชาญ ดังนั้นแพทย์ และผู้ทำการรักษาจึงควรคุยกันโดยละเอียดก่อนการฉีดทุกครั้ง
เมื่อเกิดผลข้างเคียงแล้วจะทำอย่างไร?
ดังที่ได้กล่าวแล้วตอนต้นว่าผลจากการฉีด โบทูลินั่มท็อกซิน นั้นจะค่อยๆ หมดไปเองภายในเวลาเป็นเดือน ดังนั้นผู้รับการรักษาจึงใจเย็นๆ และค่อยๆ รอให้ผลของ โบทูลินั่ม
ท็อกซิน หมดไปเองก็ได้ ส่วนในกรณีที่เกิดหนังตาตกนั้น ผู้รับการรักษาควรปรึกษาแพทย์ผู้ทำการรักษาเป็นกรณีไป
ขอบคุณบทความและรูปภาพจาก http://hilight.kapook.com
โบท็อกซ์สำหรับลดริ้วรอยเหี่ยวย่น
ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่พบได้บ่อยคือ ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่เกี่ยวกับการบีบตัวของกล้ามเนื้อ หรือริ้วรอยที่เกิดจากการบีบตัวของกล้ามเนื้อ เช่น รอยตีนกา รอยย่นตามขวางที่หน้าผาก และรอยย่นตรงหว่างคิ้วที่เกิดจากการขมวดคิ้ว รวมทั้งรอยย่นที่คาง และรอยย่นที่คอเป็นต้น
หลัง จากการฉีดโบท็อกซ์ประมาณ 2-3 วัน จะเริ่มรู้สึกว่าริ้วรอยเหี่ยวย่นจะลดลง และได้ผลเต็มที่ในเวลา 1 สัปดาห์ และผลจะคงยังอยู่ประมาณ 3-6 เดือน
มี คำถามว่าฉีดโบท็อกซ์แต่ละครั้งแล้ว ผลอยู่ได้ไม่ถาวร แล้วสมควรที่จะฉีดหรือไม่ คำตอบคือ ถึงแม้ว่าในการฉีดแต่ละครั้ง ผลจะอยู่ไม่ถาวรก็จริง แต่ในช่วงระยะเวลา 3-6 เดือนที่โบท็อกซ์ออกฤทธิ์นั้น ยังได้ผลดีจากการชะลอริ้วรอยที่เกิดในช่วงนั้นๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนอายุ 30 ปี ถ้าไม่ได้ทำการรักษาอะไร อีก 6 เดือนข้างหน้า ริ้วรอยจะต้องเกิดมากขึ้น เพราะริ้วรอยจากกล้ามเนื้อบีบตัวจะเพิ่มมากขึ้นทุกๆวัน ถ้าเขาปล่อยริ้วรอยแบบนี้ไปเรื่อยๆ ใบหน้าก็จะมีริ้วรอย และดูสูงวัยมากขึ้นทุกๆวัน แต่ถ้าในขณะตอนที่เขาอายุ 30 ปี เขามารักษาด้วยการฉีดโบท็อกซ์ ริ้วรอยในช่วง 6 เดือนนั้นอาจหายไปหรือลดลงเกือบหมด และถ้าหมดตัวยาหมดฤทธิ์ริ้วรอยเหี่ยวย่นที่กลับมา อย่างแย่ก็จะเท่ากับตอนเริ่มแรกที่เขาฉีดโบท็อกซ์คือเท่ากับ ตอนที่เขาอายุ 30 ปี ทั้งที่ตอนนั้นๆเขาอายุ 30 กว่าปีแล้ว และถ้าเขารับการฉีดโบท็อกซ์ต่อเนื่องตามที่แพทย์นัด ผลของตัวยาจะยิ่งมีอายุนานมากขึ้นเรื่อยๆ และใบหน้าของเขาก็จะไม่แก่ไปตามวัยที่มากขึ้นอีกด้วย
ริ้ว รอยเหี่ยวย่นที่สามารถรักษาได้ด้วยโบท็อกซ์ ได้แก่ รอยตีนกา รอยย่นใต้ตา รอยย่นตามขวางที่หน้าผาก รอยย่นขมวดคิ้ว รอยย่นที่สันจมูก ร่องแก้มเฉพาะส่วนด้านบน (ในบางราย) รอยย่นที่แก้ม (ในบางกรณี) รอยย่นที่คาง รอยเส้นๆตามขวางที่คอ และรอยย่นที่เป็นเหนียงที่คอ รอยย่นที่หน้าอก และรอยย่นที่หลังมือเป็นต้น
โบท็อกซ์สำหรับความงามอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับรอยย่น
นอกจากในแง่ลดริ้วรอยเหี่ยวย่นแล้ว โบท็อกซ์ยังนำมาใช้ในด้านความงามอื่นๆอีก ที่มีผู้มาใช้บริการนิยมมากคือ การใช้โบท็อกซ์ลดกราม ทำให้หน้าเรียวเล็กลง โดยเป็นธรรมชาติ ไม่เจ็บตัว ไม่ต้องผ่าตัด และไม่ต้องพักฟื้น
นอก จากนี้ โบท็อกซ์ยังสามารถใช้ปรับแต่งทรงคิ้วให้สวยงามได้รูปตามที่ต้องการ, ปรับแต่งระดับคิ้วให้เท่ากัน ,ปรับใบหน้าสองข้างให้เท่ากันมากขึ้น ในรายที่หน้าเบี้ยว, ปรับแต่งตาให้กว้างขึ้น, ลดขนาดปีกจมูก, ลดถุงก้อนใต้ตา (ในบางกรณี), ช่วยทำให้รูขุมขนบนใบหน้าเล็กลง, ช่วยลดความมันบนใบหน้า, ช่วยปรับขนาดขมับในคนไข้บางคนที่ขมับไม่ได้รูป, ช่วยปรับลดโหนกแก้มให้เล็กลง หรือยกโหนกแก้มให้สูงขึ้นแล้วแต่คนไข้แต่ละราย, ช่วยลดคางสองชั้น, ช่วยทำให้หน้าตึงกระชับโดยไม่ต้องผ่าตัดดึงหน้า, ลดความหย่อนห้อยของแก้ม, ทำให้คอเรียวระหง และ ช่วยทำให้น่อง และ ต้นแขนเรียวเล็กลง
?
โบท็อกรักษาปัญหาอื่นๆที่ไม่เกี่ยวกับความงาม
โบ ท็อกซ์จริงแล้ว ไม่ได้ใช้สำหรับในวัยผู้ใหญ่เท่านั้น เพราะมีบางกรณีที่เราใช้โบท็อกซ์ช่วยรักษาบางภาวะในเด็ก เช่นโรคกล้ามเนื้อบิดเกร็งในเด็ก ดังนั้นโบท็อกซ์จึงเป็นยาที่มีความปลอดภัยสูง เพราะแม้ในคนไข้เด็กก็ยังสามารถใช้โบท็อกซ์ในปริมาณที่มากกว่าการฉีดลดริ้ว รอยเสียอีก
ภาวะ เหงื่ออกมากผิดปกติ ก็เป็นอีกภาวะที่ใช้โบท็อกซ์รักษาได้ดีมาก ซึ่งบางรายนอกจากเหงื่อออกมากแล้ว ยังมาพร้อมกับอาการกลิ่นที่รุนแรงอีกด้วย ซึ่งโบท็อกซ์สามารถช่วยคนไข้ที่มีปัญหาในการเข้าสังคมนี้ได้ ภาวะเหงื่อออกมากผิดปกตินี้ สามารถใช้โบท็อกซ์รักษาได้ ทั้งที่ รักแร้ ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ในหนังศีรษะ คอ อก และหลัง แต่ที่มีคนไข้มาฉีดลดเหงื่อบ่อยที่สุดคือ ที่รักแร้
อีก ภาวะหนึ่งที่ใช้โบท็อกซ์รักษาได้ผลดี คือการรักษาอาการปวดหัว จากไมเกรนหรือจากสาเหตุอื่นๆ พบว่าสารโบท็อกซ์นอกจากยับยั้งการหลั่งสารที่ก่อให้เกิดการบีบตัวของกล้าม เนื้อได้แล้ว ยังสามารถลดการหลั่งสารที่ทำให้เกิดการปวดหลายๆชนิด ดังนั้นจึงนำการฉีดโบท็อกซ์มารักษาอาการปวดเหล่านี้ได้ นอกจากที่ศีรษะแล้ว ยังสามารถลดอาการปวดบริเวณคอ แผ่นหลัง สะโพก แขน และขาได้อีกด้วย
นอก จากโรคกล้ามเนื้อบิดเกร็งแล้ว ยังมีการใช้โบท็อกซ์สำหรับรักษาอาการตาเข ตาเหล่, กล้ามเนื้อหน้ากระตุก, กล้ามเนื้อคอบิด, โรคเอ็นกล้ามเนื้อที่เท้าอักเสบ, โรคกล้ามเนื้อหลอดอาหารผิดปกติ รวมทั้งภาวะความผิดปกติของการปัสสาวะอันเกิดจากความผิดปกติของกระเพาะ ปัสสาวะ
?
ข้อควรทราบก่อนรับบริการฉีดด้วยโบท็อกซ์
การ ฉีดโบท็อกซ์เป็นศิลปะ ต้องอาศัยเทคนิคพิเศษพาะตัว และความชำนาญ ทั้งในการวิเคราะห์ปัญหาของคนไข้ และความเชี่ยวชาญในการฉีดโบท็อกซ์ ดังนั้นจึงควรรับการรักษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านโบท็อกซ์เท่านั้น
โบ ท็อกซ์ที่ได้ผลดีเป็นที่ยอมรับมานานหลายสิบปี ทั้งในสหรัฐอเมริกา และนานาชาติทั่วโลกว่า เป็นโบท็อกซ์ที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัย ต้องเป็นโบท็อกซ์ของประเทศสหรัฐอเมริกาเท่านั้น เนื่องจากปัจจุบันมีสารโบทูลินูม ท็อกซินที่ผลิตในบางประเทศทางแถบเอเซีย เพิ่งผลิตมาไม่นานมานี้เอง แม้ราคาจะถูกกว่า แต่มีข้อจำกัดในประสิทธิภาพ และอาจมีผลข้างเคียงมากกว่า
การ รับบริการด้วยการฉีดโบท็อกซ์จากสถานพยาบาลบางแห่งที่เห็นว่าราคาถูก ผู้รับบริการควรระวังเรื่องที่มาของโบท็อกซ์ว่าเป็นของแท้จากอเมริกาหรือไม่ และต้องคำนึงถึงปริมาณการใช้ จำนวนยูนิตว่ามากน้อยแค่ไหน เพราะการฉีดยาที่เจือจาง อาจทำให้ผลการรักษาไม่ได้ผลดีเท่าที่ควร
หาก คุณเป็นคนหนึ่งที่อยากมีใบหน้าที่แลดูอ่อนเยาว์ลง และดูสวยงามสมส่วนขึ้น โดยไม่ต้องศัลยกรรม ไม่ต้องพักฟื้น ไม่เสียเวลา และเห็นผลได้ในเวลาอันรวดเร็ว การฉีดโบท็อกซ์เป็นทางเลือกที่ปลอดภัย และได้ผลดีที่สุดอันดับต้นๆที่คุณต้องนึกถึง
ขอบคุณข้อมูลจาก รพ.นครธน
Credit: siliconeclub.com
48 thoughts on “มารู้จักโบท็อกซ์ (BOTOX) กับแพทยสภา … รศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์”