intestinal-flu

มดลูกอักเสบ…น่ากลัวไหมนะ

บทความโดย นพ.ก้องศาสดิ์ ดีนิรันดร์

มดลูกอักเสบ โรคนี้คุณๆ อาจได้ยินบ่อยๆ จนคุ้นหู ส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในผู้หญิงอายุระหว่าง 15-45 ปี เกิดจากการอักเสบติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน (Pelvic Inflammatory Disease) คือ การอักเสบแบบเฉียบพลันในบริเวณมดลูกและอาจแพร่กระจายไปสู่บริเวณช่องท้องได้ โรคนี้อาจมีภาวะแทรกซ้อนได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธี ซึ่งขึ้นอยู่กับเป็นการติดเชื้อในบริเวณใด

 

  • ถ้าติดเชื้อและเกิดการอักเสบบริเวณเยื่อบุโพรงมดลูก ก็จะเรียกว่า เยื่อบุโพรงมดลูกอักเสบ
  • ถ้าติดเชื้อที่ปีกมดลูก จะเรียกว่า ปีกมดลูกอักเสบ (Salpingitis) คือ การติดเชื้อและเกิดการอักเสบขึ้นในบริเวณปีกมดลูก

 

สังเกตตัวเองถ้า…

  • มีไข้เกิน 38 องศาเซลเซียส หนาวสั่น ซึ่งอาการไข้จะเกิดขึ้นพร้อมหรือใกล้เคียงกับอาการปวดท้องน้อย
  • ปวดท้องน้อย ส่วนใหญ่มักเริ่มปวดก่อนและหลังมีประจำดือน (ส่วนใหญ่มักไม่เกิน 14 วันหลังมีประจำเดือน) เป็นอาการปวดหน่วงตลอดเวลาร่วมกับปวดเกร็งเป็นระยะ และจะรู้สึกปวดมากขึ้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือขณะมีเพศสัมพันธ์
  • ถ้ามีอาการคลื่นไส้ อาเจียนหรือท้องเสียร่วมด้วย แสดงว่าโรคได้ลามไปถึงเยื่อยุช่องท้องแล้ว ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ อาจะเป็นอันตรายได้
  • ตกขาวมีกลิ่น

สาเหตุ
มักเกิดจากการติดเชื้อในบริเวณอวัยวะเพศ และเกิดการอักเสบแล้วลามขึ้นมายังส่วนบน โดยแบ่งออกเป็น

  • การติดเชื้อจากเพศสัมพันธ์ โดยส่วนใหญ่พบว่าเป็นเชื้อหนองใน (Neisseria Gonorrhoea) และเชื้อหนองในเทียม (Chlamydia Trachomatis) ซึ่งส่วนใหญ่พบว่าเกิดจากมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่ชอบเที่ยวและมีคู่นอนหลายคน
  • ภาวะขาดสมดุลของสิ่งแวดล้อมในช่องคลอด เช่น มีเลือดออกในช่องคลอดเรื้อรัง การบาดเจ็บจากการมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งมักเป็นเชื้อแบคทีเรีย เช่น Peptococci, Peptostreptococci, Gardnerella Vaginalis และอื่นๆ
  • การติดเชื้อหลังคลอด (Pueperai Infectin) มักเกิดจากการกระตุ้นเชื้อที่มีอยู่แล้วในช่องคลอด อย่างเชื้อสแตฟฟีโลค็อกคัส และเชื้อสเตรปโตค็อกคัสจนเกิดเป็นโรค โดยมักมาจากการคลอดที่มีภาวะแทรกซ้อน เช่น โลหิตจาง คลอดยาก การบาดเจ็บ เศษรกค้าง ภาวะครรภ์เป็นพิษ ถุงน้ำคร่ำแตกรั่วอยู่นานก่อนคลอด ฯลฯ ซึ่งมักเกิดขึ้นภายใน 24 ชั่วโมงหลังคลอด
  • การทำแท้ง หากไม่ได้ทำอย่างสะอาดอาจทำให้เกิดการอักเสบขึ้น และอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้

ใครที่เสี่ยงต่อโรคนี้

  • ผู้ที่เปลี่ยนคู่นอนไปเรื่อยๆ หญิงบริการ หรือมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชายที่เสี่ยงต่อการมีโรคหนองในหรือหนองในเทียม
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ขณะอายุยังน้อย เนื่องจากมีภูมิป้องกันตัวเองต่ำ และมูกของปากมดลูกยังไม่สามารถป้องกันการลุกลามของเชื้อแบคทีเรียได้ดีพอ
  • ผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือน หรือในช่วงหลังคลอดได้ไม่นาน เนื่องจากในช่วงนี้ สภาพของมดลูกยังไม่มีกลไกในการป้องกันการติดเชื้อได้ดีพอ จึงอาจทำให้ติดเชื้อและเกิดการลุกลามได้
  • ผู้ที่ใช้การคุมกำเนิดแบบห่วงอนามัย
  • ผู้ที่สวนล้างช่องคลอดเป็นประจำ เนื่องจากการสวนล้างช่องคลอดทำให้เสียภาวะสมดุลของเชื้อโรคตัวที่ควรจะมีในช่องคลอดและบริเวณมดลูกไป ปฏิชีวนะตามเชื้อที่ก่อให้เกิดโรค

แนวทางป้องกัน

  • งดการร่วมเพศกับผู้ที่มีความเสี่ยง
  • หลังการคลอดบุตร ขูดมดลูกหรือแท้งบุตร ควรงดการร่วมเพศหรือสวนล้างช่องคลอดเป็นเวลา 6 อาทิตย์
  • ถ้าสงสัยว่าติดเชื้อหนองใน ควรรีบไปพบแพทย์ทันที ก่อนที่จะลุกลามไปมากขึ้นจนกลายเป็นปีกมดลูกอักเสบ
  • ไม่ควรสวนล้างช่องคลอดบ่อยๆ

วิธีการรักษา
ถ้าดูตามอาการแล้วสงสัยว่าอาจจะเป็นมดลูกอักเสบ ควรปรึกษาแพทย์เพื่อป้องกันการลุกลามไปส่วนอื่น ถ้าถึงขั้นมีไข้สูง กดแล้วเจ็บ หรือปวดบริเวณท้องน้อย ควรรีบไปพบแพทย์ทันทีเพื่อตรวจรักษาดังนี้

  • ตรวจปัสสาวะ
  • ตรวจเม็ดเลือดขาว
  • นำหนองในช่องคลอดไปตรวจหาเชื้อ หรืออัลตราซาวด์

ผู้ป่วยอาจต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ซึ่งจะต้องดูตามอาการของผู้ป่วย เช่น การให้ยาแก้ปวด การลดไข้ การให้น้ำเกลือ และอาจต้องให้เลือดถ้าผู้ป่วยมีอาการซีด และต้องให้ยา

 

 

ขอบคุณข้อมูลจาก ablehealth11.blogspot.com

Credit pic: healthspablog.org